เหตุใด? เทศกาลตรุษจีนปีนี้...เราพึงเซ่นไหว้บรรพชนด้วยอาหารเจ
ตรุษจีน เซ่นไหว้บรรพชนด้วย...อาหารเจ กตัญญู แสดงออกถึงจิตรำลึกคุณ สืบสานประเพณีอันดีงามแต่ครั้งบรรพกาล บรรยากาศมงคลเปี่ยมล้นความปีติ ปราศจากเลือดเนื้อความเจ็บปวดของสรรพสัตว์น้อยใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แซ่สร้องสรรเสริญอวยชัย
มีคำกล่าว “หนึ่งวันพ่อแม่เลี้ยงดูเรา ร้อยปีอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน” ความหมายก็คือลูกที่กตัญญูต้องรู้จักสำนึกอยู่เสมอว่า การได้มีชีวิตอยู่รับใช้พ่อแม่ ผู้บังเกิดเกล้าทุกค่ำเช้าเป็นเวลา 100 ปี นั่นเท่ากับว่าเราได้ตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูชีวิตมาได้ 1 วัน
ตั้งแต่เรายังเล็กๆ ท่านป้อนข้าว ให้นม ให้เสื้อผ้าที่อยู่ที่กิน ให้ความรู้การศึกษา ให้ความรักและความอบอุ่นยามเจ็บไข้พ่อแม่ไม่ยอมหลับยอมนอน ตื่นคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลากว่าเราจะโตจนช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี ลองคิดคำนวณดูเอาเถิดว่ากี่ร้อย กี่พันกันล่ะที่ท่านต้องลำบาดเลี้ยงดูเรา
เพราะฉะนั้น ต่อให้เรามีอายุยืนอยู่ได้ถึงหมื่นปี คอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ทุกวันมิได้ขาดก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองได้หมด
พระคุณบิดามารดานั้นมากมายล้นพ้น สุดจะหาคำใดในโลกมาเอ่ยพรรณนา ขอให้เราทุกคนย้อนมองดูตัวเองแล้วพิจารณาดูซิว่าเราเคยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ด้วยความจริงใจสักหนึ่งวันเต็มๆมีบ้างไหม?
ยามที่พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้ายังมีชีวิตอยู่ ลูกควรกตัญญูรู้คุณด้วยการเคารพเชื่อฟัง ไม่นำเรื่องราวใดๆ ทำให้ท่านต้องทุกข์ร้อนใจ ควรดูแลเอาใจใส่ให้ท่านทั้งสองมีแต่ความสุขกายสบายใจ เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ให้กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของท่านสืบต่อจนถึงรุ่นลูกหลาน
การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เพื่อเป็นแบบอย่างของคุณธรรมอันดีแก่ลูกหลานของเราให้ได้รู้จักสำนึกในพระคุณบิดามารดาบุพการีมีความกตัญญูรู้คุณสืบต่อกันไป มิใช่เซ่นไหว้เพื่อขอโชคลาภ เงินทองยศฐาบรรดาศักดิ์แก่ตัวเองและลูกเมีย เราไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือที่ท่านเลี้ยงเรามาชั่วชีวิตของท่าน ตลอดเวลาเราได้รับอาหาร เสื้อผ้า ข้างของ เงินทอง ตลอดจนความรู้ ทั้งหมดที่ท่านให้มาแล้วยังไม่เพียงพอที่เราจะใช้ดำเนินชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวลูกหลานต่อไปอีกหรือ ทำไมเราจะต้องเซ่นไหว้วิงวอนขอบันดาลสิ่งโน้นสิ่งนี้อย่างคนไม่รู้จักพอทั้งๆที่ท่านไม่มีสังขารร่างกายจะลุกขึ้นมาให้เราได้อีกแล้ว
การที่ลูกหลานกราบไหว้บรรพบุรุษ เพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ จึงมิใช่การแสดงความกตัญญูที่แท้จริง หากเราสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักแต่จะขอวิงวอนขอเอาจากผู้อื่นต่อไปเมื่อเขาเติบใหญ่ก็จะได้นั่งวิงวอนรอคอยให้ผู้อื่นช่วยแทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่พ่อแม่มอบให้แล้วออกไปบากบั่นมุ่งหน้าประกอบกิจการงานอย่างผู้มีความรับผิดชอบเป็นตัวของตัวเอง ถ้าหากลูกหลานของเรามัวแต่งอมืองอเท้าอย่างนี้ความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองที่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอน ทำตนเป็นแบบอย่างที่ผิดๆ ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญูไม่ควรทำให้ชีวิตผู้อื่นล้มตาย บรรพบุรุษของเราย่อมไม่ยินดีเป็นแน่ในเรื่องนี้
ผู้รู้ทั้งหลายก็จะพากกันติเตียนในความโง่เขลาของเรา ชีวิตเลือดเนื้อที่ได้จากการปล้นฆ่า แย่งชิงเอามาจากสัตว์เป็นเสมือนของต้องห้ามที่ผิดกฎหมาย หากนำไปมอบให้ใครผู้รับมอบก็จะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย เช่นนี้แล้วดวงวิญญาณของบรรพบุรุษกลับต้องได้รับหนี้สินบาปเวรจากการกระทำของลูกหลานโดยที่ท่านไม่ได้รู้เห็นเป็นใใจด้วยเลย..ช่างหน้าสลดใจจริงๆ ผู้มีความกตัญญูที่แท้จริงพึงกระทำอย่างยิ่ง
ในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปและต่างก็หวังว่าดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับจะเดินทางไปสู่สุคติภพไม่อยากให้ตกนรกหมกไหม้ไปอยู่ในที่ที่น่ากลัวได้รับแต่ความทรมานทุกข์ทรมานยากลำบาก
ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่ หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย
มีคำกล่าว “หนึ่งวันพ่อแม่เลี้ยงดูเรา ร้อยปีอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน” ความหมายก็คือลูกที่กตัญญูต้องรู้จักสำนึกอยู่เสมอว่า การได้มีชีวิตอยู่รับใช้พ่อแม่ ผู้บังเกิดเกล้าทุกค่ำเช้าเป็นเวลา 100 ปี นั่นเท่ากับว่าเราได้ตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูชีวิตมาได้ 1 วัน
ตั้งแต่เรายังเล็กๆ ท่านป้อนข้าว ให้นม ให้เสื้อผ้าที่อยู่ที่กิน ให้ความรู้การศึกษา ให้ความรักและความอบอุ่นยามเจ็บไข้พ่อแม่ไม่ยอมหลับยอมนอน ตื่นคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลากว่าเราจะโตจนช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี ลองคิดคำนวณดูเอาเถิดว่ากี่ร้อย กี่พันกันล่ะที่ท่านต้องลำบาดเลี้ยงดูเรา
เพราะฉะนั้น ต่อให้เรามีอายุยืนอยู่ได้ถึงหมื่นปี คอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ทุกวันมิได้ขาดก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองได้หมด
พระคุณบิดามารดานั้นมากมายล้นพ้น สุดจะหาคำใดในโลกมาเอ่ยพรรณนา ขอให้เราทุกคนย้อนมองดูตัวเองแล้วพิจารณาดูซิว่าเราเคยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ด้วยความจริงใจสักหนึ่งวันเต็มๆมีบ้างไหม?
ยามที่พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้ายังมีชีวิตอยู่ ลูกควรกตัญญูรู้คุณด้วยการเคารพเชื่อฟัง ไม่นำเรื่องราวใดๆ ทำให้ท่านต้องทุกข์ร้อนใจ ควรดูแลเอาใจใส่ให้ท่านทั้งสองมีแต่ความสุขกายสบายใจ เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ให้กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของท่านสืบต่อจนถึงรุ่นลูกหลาน
การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เพื่อเป็นแบบอย่างของคุณธรรมอันดีแก่ลูกหลานของเราให้ได้รู้จักสำนึกในพระคุณบิดามารดาบุพการีมีความกตัญญูรู้คุณสืบต่อกันไป มิใช่เซ่นไหว้เพื่อขอโชคลาภ เงินทองยศฐาบรรดาศักดิ์แก่ตัวเองและลูกเมีย เราไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือที่ท่านเลี้ยงเรามาชั่วชีวิตของท่าน ตลอดเวลาเราได้รับอาหาร เสื้อผ้า ข้างของ เงินทอง ตลอดจนความรู้ ทั้งหมดที่ท่านให้มาแล้วยังไม่เพียงพอที่เราจะใช้ดำเนินชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวลูกหลานต่อไปอีกหรือ ทำไมเราจะต้องเซ่นไหว้วิงวอนขอบันดาลสิ่งโน้นสิ่งนี้อย่างคนไม่รู้จักพอทั้งๆที่ท่านไม่มีสังขารร่างกายจะลุกขึ้นมาให้เราได้อีกแล้ว
การที่ลูกหลานกราบไหว้บรรพบุรุษ เพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ จึงมิใช่การแสดงความกตัญญูที่แท้จริง หากเราสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักแต่จะขอวิงวอนขอเอาจากผู้อื่นต่อไปเมื่อเขาเติบใหญ่ก็จะได้นั่งวิงวอนรอคอยให้ผู้อื่นช่วยแทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่พ่อแม่มอบให้แล้วออกไปบากบั่นมุ่งหน้าประกอบกิจการงานอย่างผู้มีความรับผิดชอบเป็นตัวของตัวเอง ถ้าหากลูกหลานของเรามัวแต่งอมืองอเท้าอย่างนี้ความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองที่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอน ทำตนเป็นแบบอย่างที่ผิดๆ ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญูไม่ควรทำให้ชีวิตผู้อื่นล้มตาย บรรพบุรุษของเราย่อมไม่ยินดีเป็นแน่ในเรื่องนี้
ผู้รู้ทั้งหลายก็จะพากกันติเตียนในความโง่เขลาของเรา ชีวิตเลือดเนื้อที่ได้จากการปล้นฆ่า แย่งชิงเอามาจากสัตว์เป็นเสมือนของต้องห้ามที่ผิดกฎหมาย หากนำไปมอบให้ใครผู้รับมอบก็จะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย เช่นนี้แล้วดวงวิญญาณของบรรพบุรุษกลับต้องได้รับหนี้สินบาปเวรจากการกระทำของลูกหลานโดยที่ท่านไม่ได้รู้เห็นเป็นใใจด้วยเลย..ช่างหน้าสลดใจจริงๆ ผู้มีความกตัญญูที่แท้จริงพึงกระทำอย่างยิ่ง
ในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปและต่างก็หวังว่าดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับจะเดินทางไปสู่สุคติภพไม่อยากให้ตกนรกหมกไหม้ไปอยู่ในที่ที่น่ากลัวได้รับแต่ความทรมานทุกข์ทรมานยากลำบาก
ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่ หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น